วันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2557

โรคอัมพาต รักษาได้โดยการแกว่งแขน

4/24/2557 Posted by Unknown No comments
               โรคอัมพาตเป็นโรคร้ายแรงอย่างนึงที่เราไม่อยากจะเป็นแน่นอน ใช่มั้ย แต่เรื่องโรคภัยไข้เจ็บ มันเป็นอะไรที่เดาได้ยาก แต่เรามีวิธีการรักษา จากการแกว่งแขน นั่นเอง มาดูกันเลยค่ะ ว่าการแกว่งแขน สามารถรักษาโรคอัมพาต ได้อย่างไร
                   โรคอัมพาตหรืออาการที่ตายไปครึ่งตัว เป็นลม ความดันโลหิตสูง ไขข้ออักเสบ ส่วนมากโรคเหล่านี้มักจะเกี่ยวเนื่องกัน เกิดขึ้นเพราะเลือดลมภายในร่างกายขาดความสมดุล ซึ่งกระทบกระเทือนการไหลเวียนแจกจ่ายของเลือดลม และทำให้ชีพจรกล้ามเนื้อ และกระดูกไขข้อ เกิดการแปรปรวนขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปรากฏว่า ชีพจรทั้งสองข้างเต้นไม่เท่ากัน คือข้างหนึ่งเต้นเร็วอีกข้างหนึ่งเต้นช้า การเต้นของชีพจรบางครั้งต่างกัน๑๐-๒๐ ครั้ง เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จะเกิดปฏิกิริยาโดยถือเท้าข้างใดข้างหนึ่ง มีอาการรู้สึกปวดเมื่อย หรือชา ขาดความรู้สึก ที่จริงส่วนบนกับส่วนล่าง ก็มักมีปัญหาเช่นกัน ได้แก่ ส่วนบนเลือดคั่ง แต่ส่วนล่างเลือดกลับเดินไม่ถึงเช่นนี้

          เหตุใดการออกกำลังโดยการแกว่งแขนจึงสามารถรักษาโรคเหล่านี้ได้อย่างชะงัด
การออกกำลังแบบนี้ มิเพียงสามารถรักษาโรคเหล่านี้ได้แต่ยังสามารถป้องกันการเป็นลมอีกด้วย  การที่คนเราเกิดเป็นลมขึ้นมา  ก็เพราะการไหลเวียนของโลหิตทั้งสองด้านของร่างกายขัดแย้งกัน  ดังนั้นชีพจรจึงแสดงการไม่สมดุลกันออกมาให้ปรากฏ   แพทย์จีนแผนโบราณให้คำอธิบายไว้ว่า  "ชีพจรนั้นได้เริ่มจากส้นเท้า" การทำกายบริหารแกว่งแขนมีประโยชน์ก็เพราะหลังจากแกว่งแขนแล้ว  ชีพจรจะเกิดการเปลี่ยนแปลงกลับคืนสู่สุขภาพปกติ   ชีพจรเป็นเสมือนตัวแทนของอวัยวะภายในร่างกายของคนเรา      สาเหตุของโรคอัมพาต ก็คือ ศีรษะหนัก  เท้าเบา ซึ่งเท่ากับส่วนบนหนัก ส่วนล่างว่าง   กรณีเช่นนี้จึงเป็นความผิดปกติอย่างยิ่งเพราะที่ถูกต้องร่างกายของคนเรา ส่วนบนต้องเบา และส่วนล่างต้องหนัก

          โรคอัมพาต หมายถึง อาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อแขนขาอันเกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานของแขนขาส่วนนั้น ที่พบบ่อยก็คือ อาการอ่อนแรงของแขนขาซีกใดซีกหนึ่ง อันเกิดจากความผิดปกติของสมอง เรียกว่า อัมพาตครึ่งซีก(hemiplegia)
          นอกจากนี้ยังอาจพบอาการอัมพาตในลักษณะอื่น เช่น ขาทั้งสองข้างอ่อนแรง อันเกิดจากความผิดปกติ(เช่น บาดเจ็บ ติดเชื้อ)ของไขสันหลังส่วนล่าง เรียกว่า อัมพาตครึ่งล่าง(paraplegia) หรือแขนขาทั้ง 4 ข้างอ่อนแรง เนื่องจากไขสันหลังส่วนบนได้รับการกระทบกระเทือน(เช่น ประสบอุบัติเหตุกระดูกต้นคอหักกดไขสันหลัง) เรียกว่า อัมพาตทั้งตัว(quadriplegia) เป็นต้น
เนื่องจากโรคอัมพาตครึ่งซีกเป็นภาวะที่พบได้บ่อยกว่าอัมพาตในลักษณะอื่นๆ โดยเฉพาะในวัยกลางคนและผู้สูงอายุ ดังนั้น เมื่อพูดถึงโรคอัมพาตเราจึงมักจะหมายถึงโรคอัมพาตครึ่งซีกนั่นเอง


         โรคอัมพาต(ครึ่งซีก) เป็นโรคที่พบได้บ่อยในบ้านเราขณะนี้ มักพบในวัยกลางคนขึ้นไปเป็นส่วนใหญ่ และเป็นได้ทั้งชายและหญิง อาการมักเกิดขึ้นฉับพลันทันที จนเรียกกันว่า ลมอัมพาต
โรคนี้เกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดแดงในสมอง กล่าวคือ อาจมีการแตกหรือตีบตันของหลอดเลือดนี้ ทำให้เนื้อสมอง(ส่วนที่หลอดเลือดนั้นไปเลี้ยง)เกิดความผิดปกติ และหยุดสั่งงาน จึงเป็นเหตุให้แขนขาที่สมองส่วนนั้นบังคับบัญชาอยู่เป็นอัมพาต เปรียบเหมือนกับสวิตช์ไฟเสีย ทำให้ดวงที่สวิตช์ควบคุมอยู่นั้นไม่ติด
ที่น่าสนใจก็คือ สมองคนเรานั้นจะสั่งงานไปยังแขนขาซีกตรงข้าม กล่าวคือ สมองซีกซ้ายจะสั่งงานแขนขาซีกขวา สมองซีกขวาจะสั่งงานแขนขาซีกซ้าย
โรคอัมพาต(ครึ่งซีก)มักจะเกิดจากความผิดปกติของสมองเพียงซีกใดซีกหนึ่ง ซึ่งจะทำให้แขนขาซีกตรงข้ามเป็นอัมพาต เช่น ถ้าเป็นอัมพาตซีกขวา ก็แสดงว่ามีความผิดปกติในสมองซีกซ้าย เป็นต้น

สาเหตุที่ทำให้หลอดเลือดแดงในสมองเกิดการตีบตันหรือแตกนั้น ส่วนใหญ่เกิดจากภาวะเสื่อมของหลอดเลือดแดง ทำให้ผนังหลอดเลือดแข็งตัว ตีบตัน และเปราะ ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดขึ้นเป็นธรรมชาติในผู้สูงอายุ(อายุ 70-80 ปีขึ้นไป) แต่ภาวะเสื่อมของหลอดเลือดแดงจะเกิดขึ้นเร็วกว่าวัยอันควร ถ้าคนๆนั้นป่วยเป็นโรคเบาหวาน ความดันเลือดสูง สูบบุหรี่จัด หรือเป็นโรคอ้วนมาตั้งแต่เล็ก ปัจจัยเหล่านี้จะทำให้หลอดเลือดแดงค่อยๆเสื่อมทีละน้อย จนถึงวัยกลางคนก็จะเริ่มก่อโทษต่อสมอง

          ป้องกันได้ โดย

- อย่าสูบบุหรี่ ลดอาหารมัน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งไขมันสัตว์ กะทิ) และหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อป้องกันมิให้หลอดเลือดแดงเสื่อมเร็ว
- บริโภคอาหารให้ถูกหลัก ควรกินผักและผลไม้สดให้มากๆ และควบคุมมิให้น้ำหนักเกิน(อ้วน) โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ในวัยเด็ก
- หมั่นตรวจเช็กความดันเลือดเป็นประจำ หากมีญาติเป็นเบาหวานหรือโรคอัมพาต ควรตรวจเช็กร่างกายเป็นประจำ
- ถ้าเป็นโรคความดันเลือดสูง หรือเบาหวาน ควรติดตามรักษากับแพทย์อย่าได้ขาด ถ้าหากสามารถควบคุมระดับความดันและน้ำตาลในเลือดให้กลับสู่ระดับปกติได้ ก็จะลดโอกาสของการเกิดโรคอัมพาตแทรกซ้อนได้

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น