วันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2557

การรักษาโรคออฟฟิศซินโดรม(Office syndrome) ด้วยการประคบร้อน ด้วยกระเป๋าน้ำร้อน

4/27/2557 Posted by Unknown No comments
          โรคออฟฟิศซินโดรม(Office syndrome)หลายๆท่านคงรู้จักกันนะคะ ในสังคมเมืองในปัจจุบันพบเห็นโรคออฟฟิศซินโดรมได้มากในหมู่คนที่ทำงานในบริษัท ที่ต้องนั่งทำงานอยู่กับที่เป็นระยะเวลานาน 6 - 8 ชั่วโมงติดต่อกัน โดยไม่ค่อยได้ขยับร่างกายไปไหนเลย โรคนี้เกิดจากที่ร่างกายเราไม่ได้ขยับ ส่งผลให้กล้ามเนื้ออักเสบ และหากทำงานในอริยาบทที่ผิดจะทำให้มีอาการที่รุนแรงมากขึ้นนั่นเอง อาการที่พบเห็นบ่อยคือ อาการปวดหลัง ปวดคอ ปวดขา และบางรายเป็นตะคริวที่บริเวณต้นขา ลามไปจนถึงขาท่อนล่าง ซึ่งเกิดจากเลือด ลม ไม่มีการไหลเวียนที่ดี สำหรับผู้ที่เริ่มมีอาการปวด ตาม ข้างต้นที่กล่าวมาแล้วนั้น ไม่ต้องวิตกกังวลไปนะคะ ถ้าเราไม่ได้มีอาการหนักมากจนไม่สามารถทำงานได้เลย มีวิธีการรักษาเบื้องต้น โดยไม่ต้องไปหายามารับประทานเลยค่ะ 

          การรักษาอาการของโรคออฟฟิศซินโดรมเบื้องต้น โดยการประคบร้อนนี้ สามารถรักษาหายได้เพราะการประคบร้อนจะทำให้เลือดลมในร่างกายเรา ไหลเวียนได้ดี เมื่อก่อน เราจะเห็นเฉพาะคนที่ปวดท้องจากประจำเดือน แต่ การประคบร้อนมีประโยชน์มากกว่านั้นค่ะ แต่เราได้มองข้ามมันไป สมัยก่อน เราใช้ถุงน้ำร้อน เทน้ำร้อนใส่ถุงน้ำร้อน และใช้ประคบตามบริเวณต่างๆที่มีอาการปวด ก็จะบรรเทา และหาย ได้ แต่ด้วยยุคสมัยนี้ จะใช้ถุงน้ำร้อนไฟฟ้า แทนก็ได้เหมือนกันค่ะ สะดวก และ สามารถเก็บความร้อนได้ยาวนานกว่า ถุงน้ำร้อนสมัยก่อนได้มาก แถมราคาไม่แพงด้วย ไม่ต้องไปเติมน้ำร้อนบ่อยๆ แค่เสียบไฟฟ้าแค่5-10 นาที ก็ใช้ได้นานเป็นชั่วโมงๆ เลยนะคะ 




          ผู้เขียนนี้ก็มีอาการปวดต้นคอ และปวดขาเช่นเดียวกันค่ะ และลองไปหาความรู้ดู ว่าอาการแบบนี้เกิดจากการที่ร่างกายของคนเราไม่ค่อยได้ขยับเขยื้อน เลือดลมเลยไหลเวียนไม่ดี เลยได้ไปหาซื้อกระเป๋าน้ำร้อนไฟฟ้ามาใช้ ไม่น่าเชื่อจริงๆ ค่ะว่า นำมาประคบกับบริเวณที่มีอาการปวด ตามต้นคอ หรือหลังแล้ว ทำให้รู้สึกได้เลยว่า ร่างกายเราได้ผ่อนคลาย จะคล้ายๆ กับการนวด และทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีมากทำให้อาการปวดที่เคยเป็นนั้น ค่อยๆ หายไปจนหายเลย และได้แนะนำให้คนที่มีปัญหาคล้ายๆกัน ลองใช้ดู คนที่เป็นตะคริวลงขานั้นเมื่อลองใช้ถุงน้ำร้อนประคบดูแล้ว ไม่น่าเชื่อว่า แค่เวลา 2-3 ชั่วโมงที่ใช้ถุงน้ำร้อน อาการที่เคยเป็นคือ มีตะคริวบริเวณ ขา ไม่กลับมาอีกเลย ทั้งๆที่เมื่อก่อนนั้น เกิดตะคริวที่ขาไม่ต่ำกว่า 2 ครั้ง ต่อวันเลยทีเดียว พอเห็นประโยชน์ จากสิ่งที่เรามองข้ามกันไปแล้วใช่มั้ยคะ แต่การประคบร้อนนั้นไม่ได้เป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่เราก็ต้องอาศัยการเปลี่ยนอริยาบทของเราบ่อยๆ มีการยืดเส้นยืดสายของร่างกายบ่อยๆ ดังจะมีสูตรที่ว่า "1 5 15" 

          สูตรในการป้องกันการเกิดโรคออฟฟิศซินโดรม "1 5 15" คือ

"1"  หมายความว่า 1 นาทีก่อนทำงาน ควรสำรวจโต๊ะทำงานให้เรียบร้อย เคลียร์พื้นที่ ดูเก้าอี้ให้เหมาะสม
"5"  หมายความว่า 5 นาที เมื่อเริ่มทำงานไปแล้ว ทุกๆชั่วโมง ควรจะออกมาเดิน หรือมาขยับร่างกายให้เลือดลมหมุนเวียน สัก 5 นาที
"15"หมายความว่า ทุกๆ 15 นาที ที่เรามองจอคอมพิวเตอร์ เราควรที่จะมองไปที่อื่นบ้าง เพื่อพิทักษ์สายตาด้วยนั่นเองค่ะ 

     ทั้งหมดนี้ก็เพื่อป้องกันตัวเราเองและไม่กลับมาเป็นโรคออฟฟิศซินโดรม อีกค่ะ

วันศุกร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2557

เรื่องของ กล้วย ที่ไม่กล้วย เลย หลากหลายประโยชน์ที่หลายๆท่าน อาจจะยังไม่ทราบ

4/25/2557 Posted by Unknown No comments
          กล้วย เป็นไม้ล้มลุกในกระตูล มูซา ในภาษาอังกฤษมีรากศัพท์มาจากภาษาโวลอฟ เรียกว่า BANANA กล้วยถือเป็นพืชที่เก่าที่ชนิดหนึ่งของโลก แบ่งออกเป็น กล้วยป่า และ กล้วยปลูก และมีหลายร้อยสายพันธุ์กระจายอยู่ทั่วโลก มนุษย์รู้จักนำเอากล้วยมาทำเป็นอาหารตั้งแต่สมัยใด ไม่มีการบันทึกที่แน่ชัด แต่ที่แน่ๆ สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลย ก็คือว่า มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาบนโลกใบนี้ คงไม่มีใครไม่รู้จักกล้วย เพราะถือเป็นพืชที่ปลูกง่าย กินง่ายที่สุด เมื่อเทียบกับบรรดาพืชอาหารชนิดอื่นๆ โดยเฉพาะ ประเทศไทยเอง ถึงกับมีการใช้คำว่า "กล้วย" ไปแทนคำว่า "ง่าย" อย่างเช่น ง่ายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก หรือคำว่า เรื่องกล้วยๆ แทนคำว่า เรื่องง่ายๆ เป็นต้น

           ถ้าในระดับตลาดโลก มีเฉพาะกล้วยหอมอย่างเดียวที่ทุกคนรู้จักกัน และส่วนมากจะปลูก กันแค่ 1 - 2 พันธุ์ อีกแบบหนึ่งที่เป็นกล้วยของพวกประเทศที่ยากจน จะมีกล้วยแบบที่เป็นแป้งเยอะๆ ๆ พวกนั้นเขาเอามาต้มกิน เหมือนกินเผือกกินมัน ซึ่งเขาถือว่าจะเป็นพืชอาหารสำคัญของเขา คือกินแทนข้าว ได้เลย เพราะว่าเขาใช้แป้ง ซึ่งจริงๆ แล้ว เขาผลิตจากอย่างอื่นไม่ค่อยได้ในบางพื้นที่ คือ ปลูกข้าวสาลีไม่ได้ ปลูกข้าวไม่ได้ และในสภาวะปัจจุบันนี้ สหประชาชาติได้มองเห็นว่า กล้วย กำลังจะเป็นที่ต้องการของโลกอย่างมาก แทบจะมาแทน มันฝรั่ง แทนข้าวได้เลยในอนาคต เพราะ ประเทศที่ยากจน เขาจะพยายามหาพืชที่เขาสามารถปลูกได้ มาทดแทน กล้วย จะเป็นพืชที่ปลูกได้ทุกที่ ขึ้นง่ายไม่ต้องใช้ปุ๋ย ใครๆ ก็ปลูกได้ เพราะฉะนั้นกล้วยจึงเป็นพืชที่องค์กรสหประชาชาติคิดว่าเป็นพืชอนาคต ที่จะมาแทน มันฝรั่งแทน ข้าว  ของโลกนี้ได้
     
          กล้วยนับเป็นพืชนำเบิก ถ้าเห็นว่าพื้นที่ไหนมีกล้วยขึ้นนั้น ย่อมแสดงว่า พื้นที่บริเวณนั้น สามารถกลับมาเป็นป่าได้อีกครั้งนึงได้ คือกล้วยจะขึ้นง่าย จากเมล็ด โตเร็ว และเก็บสะสมน้ำไว้ในลำต้น ก็จะเป็นอาหารของสัตว์ในบริเวณรอบๆ นั้น และตัวกล้วยเอง ก็เก็บน้ำไว้ให้พื้นที่บริเวณรอบๆและก็มีร่ม ชุ่มชื้น พืชอื่นๆ ก็จะตามมาขึ้นได้ เนื่องจากกล้วยจะอวบน้ำ เมื่อปลูกกันไว้มากๆ จะเป็นพื้นที่กันไฟได้ในระดับหนึ่ง นอกจากจะไม่ลุกลามแล้ว มันจะไม่ค่อยเป็นเชื้อไฟเท่าไหร่ด้วย เนื่องจากมันอวบน้ำมาก มันก็จะช่วยเรื่องกันไฟได้


           
          องค์การสหประชาชาติ หรือ UN  ได้มีการเปิดเผยผลวิจัยล่าสุดถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก และวิกฤษโลกร้อนที่จะส่งผลต่อการขาดแคลนอาหารในอนาคต และผลวิจัยชี้ว่า กล้วยน่าจะเป็นอาหารหลักของมนุษย์ แทนข้าว มันฝรั่ง และอื่นๆ ได้ หากโลกเกิดวิกฤตในเรื่องของอาหาร แต่นักวิชาการมองเห็นถึงปัญหาเกี่ยวกับ พ่อแม่ พันธุ์กล้วย นั่นคือ กล้วยป่า นั้นได้ถูกมองข้ามและถูกทำลายจนลดจำนวนลงไปอย่างมาก
          ในขณะนี้ กล้วยป่า ทั้งนำเข้าจากต่างประเทศ หรือที่พบเองในประเทศไทยนั้น มีอยู่ 13 ชนิด และอาจจะมากขึ้นอีก จะยกตัวอย่างมาบางชนิดที่เราไม่ค่อยได้คุ้นเคยกันสักเท่าไหร่ มาสัก 2 ตัวอย่างกันค่ะ

          - กล้วยนมหมี ที่เรียกว่า "กล้วยนมหมี" นั้น เพราะว่าตรงปลายลูกมันจะอ้วน ออกมาเหมือนเป็นนม ที่มีสัตว์มาดูดมากๆ แล้วดูดจนยาน เวลาดิบนั้น เอาไปปทำแป้งกล้วย หรือฝานเป็นกล้วยทอดได้ จะอร่อยกว่า กล้วยชนิดอื่นๆ มาก ในกลุ่มกล้วยกรอบ


กล้วยนมหมี

          - กล้วยช้าง ลักษณะพิเศษของกล้วยช้างนี้ก็คือ มันนึกอยากจะมีปลี ก็มี นึกอยากจะไม่มีปลี ก็จะไม่มี เอาแน่เอานอนไม่ได้ และถ้าบางทีช่วงไหนอากาศไม่ดี ก็จะไม่มีลูกเลยก็จะขึ้นมาแต่ตอ แต่ก้านเครือเฉยๆ แค่นั้น กล้วยช้างนี้เวลาสุกรถชาติจะเหมือนกล้วยน้ำว้า หรืออร่อยกว่าด้วยซ้ำ แล้วถ้าไม่มีปลี ลูกจะใหญ่กว่าปกติมาก ถ้าต้นไหนที่สมบูรณ์ ลูกจะมีขนาดเท่ามะละกอ เลยด้วยซ้ำ


กล้วยช้าง

          สำหรับประเทศไทย การใช้ประโยชน์จากกล้วยถือว่ามีมากมายหลากหลาย เมื่อเทียบกับอีกหลายๆประเทศ กล้วยสามารถนำมาต่อยอด และสามารถนำมาผลิตภัณฑ์ต่างๆได้อีกมากมาย เช่น

          น้ำหวานสกัดจากกล้วยแล้วนำมาทำให้เข้มข้น (ไซรัปกล้วย)
มีลักษณะคล้ายกับน้ำผึ้ง  และความเข้มข้นจะเทียบเท่าปริมาณของน้ำผึ้ง ความหวานนั้นสามารถนำมาแทนน้ำผึ้งได้ รสชาติก็จะหวานอมเปรี้ยว จะนำมาใช้สำหรับนักกีฬา คนที่เล่นกีฬา หรือคนที่ใช้แรงงานได้เช่นกัน ไซรัปกล้วยนี้ มีค่าความหวานมากกว่า 70 องศาบริกซ์ มีส่วนประกอบของน้ำตาลฟรุกโตส ซึ่งเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว เมื่อรับประทานเข้าไปร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ทันที ทำให้มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดน้อยกว่าการบริโภคน้ำตาลซูโครส (น้ำตาลทราย) ที่ต้องอาศัยอินซูลินในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เหมาะสม ดังนั้นจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้บริโภค รวมทั้งผู้ป่วยเบาหวาน


ไซรัปกล้วย

เห็นมั้ยล่ะคะว่า กล้วยที่เรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆเลยเนี่ย คุณประโยชน์มากมาย และยังสามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ เพื่อต่อยอดไปได้อีกหลายอย่าง ถ้าบ้านไหนพอมีพื้นที่ว่าง และไม่รู้ว่าจะปลูกอะไร ลองปลูกกล้วยไว้ทานก็จะดีไม่น้อยเลยนะคะ
          



ขั้นตอนการทำ ชาข้าวกล้องพันธ์ข้าวเหนียวดำลืมผัว

4/25/2557 Posted by Unknown 1 comment
     ชาข้าวกล้องพันธ์ข้าวเหนียวดำลืมผัว เป็นผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ได้จากการนำเมล็ดข้าวกล้องเหนียวดำพันธ์ลืมผัวที่มีคุณภาพทางโภชนาการสูง ผ่านกระบวนการให้ความร้อนโดยการคั่วที่อุณหภูมิเหมาะสม จะได้ชาข้าวซึ่งบรรจุในซองเยื่อที่สามารถนำชาไปละลายในน้ำร้อน ซึ่งจะให้กลิ่น สี และรสชาติหอมหวานจากข้าวชวนให้น่ารับประทาน

     คุณค่าทางโภชนาการ
1. มีสารแกมม่า โอไรซานอล ช่วยกระตุ้นฮอร์โมนการทำงานของร่างกาย
2. มีสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง
3. มีวิตามินอี (อัลฟา-โทโคฟีรอล) ช่วยลดคลอเรสเตอรอล
4. มีกรดไขมัน โอไมก้า 3,6 และ 9 ช่วยบำรุงสมองและความจำ
5. มีธาตุเหล็ก แคลเซียม สังกะสี และธาตุแมงกานีส ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ

     ส่วนประกอบโดยประมาณ
เมล็ดข้าวกล้องเหนียวดำพันธ์ลืมผัว ประมาณ 10 กรัม โดยน้ำหนักต่อซอง

     วิธีทำ
1. นำข้าวเหนียวดำพันธุ์ลืมผัวล้างให้สะอาด
2. ผึ่งลมให้แห้ง
3. นำมาคั่วให้ได้อุณหภูมิ 120 องศาเซลเซียส
4. บรรจุใส่ซองเยื่อชา ซีลปิดปากถุง
5. บรรจุใส่ซองฟลอยพร้อมปิดฉลาดซีลปากถุงด้วยระบบสุญญากาศ


     วิธีการชงชา
1. วางซองชาข้าวในถ้วยน้ำชาจำนวน 1 ซอง
2. จากนั้นเทน้ำร้อนลงถ้วยน้ำชาในปริมาณ 3 ใน 4 ของถ้วยหรือ ประมาณ 150 ซีซี โดยน้ำร้อนอุณหภูมิประมาณ 70-80 องศาเซลเซียส
3. ทิ้งไว้สักครู่หรือประมาณ 1 - 2 นาที เพื่อให้ความร้อนของนำจะไปละลายสารอาหารที่อยู่ในข้าวออกมา ซึ่งจะให้กลิ่นหอมและรสชาติหวาน ชวนน่ารับประทาน


     วิธีการเก็บรักษาชาข้าว
ควรเก็บรักษาซองชาข้าวไว้ในภาชนะที่แห้งและปิดสนิทเพื่อไม่ให้อากาศเข้าไปในภาชนะได้ หรือควรเก็บไว้ในตู้แช่เย็น เมื่อรับประทานไม่หมด

     ข้อแนะนำ
เมื่อเปิดซองฟลอยแล้วรับประทานไม่หมด หากเก็บหรือวางไว้ที่อุณหภูมิห้องควรจะรับประทานให้หมดภายใน 2 อาทิตย์

ขั้นตอนการทำน้ำไรซ์ไซเดอร์ข้าวเหนียวลืมผัว (Leum Pua Glutinous Rice Cider)

4/25/2557 Posted by Unknown No comments
ไซเดอร์(Cider) เป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพชนิดหนึ่งที่ได้จากกระบวนการหมัก (fermentation) จากธัญพืชหรือผลไม้ด้วยเชื้อจุลินทรีย์ที่สร้างกรดอะชิติกที่มีความเปรี้ยวเหมือนกับน้ำส้มสายชู (vinegar) เช่น แอปเปิ้ล องุ่น สัปปะรด หรือ ข้าว เป็นต้น ซึ่งกรกอะชิติกนี้จะมีความเป็นกรดอ่อนๆ มีรสชาติเปรี้ยวจะช่วยทำให้ระบบการขับถ่ายทำงานได้ดี ลดปริมาณน้ำกาลกลโคสในกระแสเลือด ลดคอเลสตอรอล ลดความดันโลหัตสูง และลดความเสี่ยงการเกิดเซลล์มะเร็งในลำไส้ใหญ่ได้ดี
ไรซ์ไซเดอร์ข้าวเหนียวลืมผัว (Leum Pua Glutinous Rice Cider)
ไรซ์ไซเดอร์ข้าวเหนียวลืมผัว เป็นเครื่องดื่มไซเดอร์ที่ผลิตจากข้าวเหนียวดำพันธ์ลืมผัว โดยผ่านการะบวนการหมักข้าวทำให้เกิดกรดอะชิติก ซึ่งจะมีรสชาติเปรี้ยวเล็กน้อยแตกต่างจากน้ำส้มสายชูที่เป็นเครื่องปรุงอาหาร

ประโยชน์ของไรซ์ไซเดอร์
1.       ช่วยละลายไขมันในลำไส้ที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งลำไส้
2.       ลดคอเลสตอรอลในเลือด
3.       ช่วยในการทำงานของระบบขับถ่ายคุณค่าทางโภชนาการ
1.       ให้พลังงาน                     65.08 กิโลแคลอรี่ต่อ 100 ml
2.       มีคาร์โบไฮเดรต             15.16      กรัมต่อ 100 ml
3.       มีไขมัน                            0.16        กรัมต่อ 100 ml
4.       มีฟอสฟอรัส (P)            34.07      มิลลิกรัมต่อ 100 ml
5.       มีวิตามินซี                      0.26        มิลลิกรัมต่อ 100 ml
6.       มีแคลเซี่ยม (Ca)           6.72        มิลลิกรัมต่อ 100 ml
7.       มีแมกนิเซียม (Ma)       19.35     มิลลิกรัมต่อ 100 ml
8.       มีโปตัสเซี่ยม (K)           29.00     มิลลิกรัมต่อ 100 ml
9.       มีเหล็ก (Fe)                   0.19        มิลลิกรัมต่อ 100 ml
10.     มีสังกะสี  (Zn)               0.59        มิลลิกรัมต่อ 100 ml

ส่วนประกอบโดยประมาณ

1.       น้ำไซเดอร์      ร้อยละ 87 โดยปริมาตร
2.       น้ำผึ้ง              ร้อยละ 13 โดยปริมาตร

ขึ้นตอนการผลิต

1.       นำข้าวเหนียวดำพันธ์ลืมผัวมาล้างทำความสะอาด
2.       แช่ในน้ำสะอาดประมาณ 6 ชั่วโมง
3.       จากนั้นทำการนึ่งข้าวให้สุก
4.       ผึ่งข้าวให้เย็นก่อนนำไปล้างเมือกข้าวออกพร้อมสลัดน้ำให้แห้งหมาดๆ
5.       ทำการคลุกข้าวด้วยลูกแป้งข้าวหมากพร้อมกับหมักข้าว
6.       เติมน้ำเมื่อหมักข้าวไปแล้ว 3 วัน ในอัตราข้าว 1 กิโลกรัม ต่อน้ำ 2 ลิตร
7.       ทำการถ่ายน้ำออกเมื่อเติมน้ำไปแล้ว 4 วัน ก็จะได้น้ำลำ
8.       จากนั้นทำการหมักต่อไปอีกประมาณ 10-15 วันก็จะได้น้ำไซเดอร์
9.       นำน้ำไซเดอร์มาผสมกับน้ำผึ้งในอัตราส่วนร้อยละ 87:13 โดยปริมาตร
10.     ทำการฆ่าเชื้อด้วยวิธีพาสเจอร์ไรส์ที่อุณหภูมิ 70 องศา นาน 5 นาที จากนั้น ลด อุณหภูมิที่ 5 องศาเซลเซียส             ภายในเวลา 5 นาที
11.     ได้น้ำไรซ์ไซเดอร์ข้าวเหนียวลืมผัว พร้อมบรรจุขวด



วิธีการเก็บรักษา

          ควรเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้องหรือเก็บไว้ในตู้แช่เย็น

ข้อแนะนำ

                เมื่อรับประทานไม่หมดควรเก็บไว้ในตู้แช่เย็น




วันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2557

เรื่องราวของ "ข้าวลืมผัว" และคุณค่าทางโภชนาการ

4/24/2557 Posted by Unknown 1 comment
          ข้าวลืมผัว มีต้นกำเนิดมาจาก อำเภอพบพระ จังหวัดตาก ภาคเหนือของประเทศไทย เป็นข้าวสีดำ ไม่มียางและให้รสสัมผัสที่แปลกลิ้น ที่เราเรียกกันว่า "ข้าวลืมผัว" นั้น มีที่มาจากภรรยาได้นึ่งข้าว รอสามีกลับมาทานหลังจากเสร็จจากการทำงาน แต่เนื่องด้วยรสชาติที่อร่อย กลุบนอก นุ่มและเหนียวข้างใน และมีกลิ่นที่หอมมาก จนหยิบข้าวกินอย่างเพลิดเพลิน จนข้าวที่หุงไว้รอสามีกลับมา นั้นหมดเกลี้ยง เลยเป็นที่มา ของ "ข้าวลืมผัว" นั่นเอง                 
          ชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง เรียกข้าวชนิดนี้ว่า "เบล้ฉั่ง" ซึ่งหมายถึงข้าวสีดำ ข้าวลืมผัวนี้ ยังมีสรรพคุณในการป้องกันการเกิดของโรคหัวใจ โรคเบาหวาน ลดการแข็งตัวของเลือด ลดการขยายของเซลล์มะเร็ว ช่วยบำรุงตับ ป้องกันโรคสมองเสื่อม ไม่น่าเชื่อว่าจะช่วยในเรื่องการหย่อนสมรรถภาพทางเพศได้ทั้งชายและหญิง ได้อีกด้วย



          ลักษณะเด่นของข้าวลืมผัว ชนิดดั้งเดิมนี้ จะเป็นสีดำ ปนสีน้ำตาลเล็กน้อย เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะได้ความรู้สึกกรุบกรับเวลาเคี้ยว และเวลาเก็บนั้น ควรเก็บไว้ในตู้เย็น เพราะน้ำมันของข้าวลืมผัวจะมีค่อนข้างเยอะ ถ้าไม่เก็บไว้ในตู้เย็นก็จะมีกลิ่นหืนได้ แต่ก่อนที่จะนำมานึ่งหรือหุงนั้นควรที่จะนำไปแช่น้ำไว้ก่อน 1 คืนเนื่องจากข้าวลืมผัวมีลักษณะที่แข็งมาก จากการวิจัยในขณะนี้ พบว่า ข้าวลืมผัว มีคุณค่าทางโภชนาการมากที่สูงในหมู่ข้าวในประเทศที่มีการวิจัยมาแล้ว

          คุณค่าทางโภชนาการของ "ข้าวลืมผัว"
1. วิตามินอี (อัลฟา โทโคฟีรอล)
    เป็นสารต้านอนุมูลอิสร ลดคอลเลสตอรอล
2. แกมมาไอโรซานอล (Gamma Oryzanol)
    มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ และสามารถต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าวิตามินอี
ถึง 6 เท่าในภาวะที่อยู่ในน้ำ คุณสมบัติเด่นหลายประการที่น่าสนใจของสาร แกมมา ออไรซานอล มีดังนี้

    -  เป็นตัวแอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidant) คือสารต้านอนุมูลอิสระ ลดการเสื่อมสภาพของเซลล์  ในร่างกายอันทำให้เกิดการแก่ก่อนวัย (Anti-aging) ช่วยป้องกันการเกิดเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์ผิดปกติ หรือที่เรียกว่า เซลล์มะเร็ง (Cancer)
    -  มีความสามารถในการป้องการเซลล์ผิวจากการถูกทำลายด้วยแสงแดด
    -  ยับยั้งการทำงานของ เอ็นไซม์ไทโรซิเนส ซึ่งเป็นตัวเร่งสร้างเม็ดสี  จึงทำให้ผิวดูกระจ่างสดใสขึ้น
    -  ลดระดับของไขมันในเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจอุดตัน
    -  เพิ่มการหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน (Endophine Hormone)   ช่วยผ่อนคลายความเครียดและหลับสบาย
    -  กระตุ้นการหลังฮอร์โมนสำหรับการเจริญเติบโต (Growth Hormone)
    -  ลดการสูญเสียแคลเซียม ทำให้ลดอัตราการเกิดโรคกระดูกพรุน
    -  ลดอัตราการเกิดภาวะวัยทอง (Menopause)
3. โอเมกา 3
     กรดไขมันที่ช่วยบำรุงสมอง 
     ป้องกันภาวะการเสื่อมของสมองและช่วยเรื่องความจำ
     ลดอันตรายของโรคทางเดินหายใจ โรคไขมันในเส้นเลือด โรคหัวใจและโรคซึมเศร้า
4. โอเมกา 6
     บรรเทาอาการขาดสภาวะของเอสโตรเจนของวัยทอง ป้องกันโรคหัวใจ ลดการแข็งตัวของเลือด บำรุงตับ 
     ช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือน ช่วยทำให้ผิวพรรณผ่องใสและนุ่มเนียนเปล่งปลั่ง
5. โอเมกา 9
    ช่วยลดคอเลสตอรอลในเส้นเลือด ไม่เป็นโรคหัวใจ โรคพาร์กินสัน และช่วยลดความอ้วน

            สรรพคุณทางการป้องกันและรักษาโรค
ป้องกันรักษาโรคหัวใจ อัมพาต ไขข้อเสื่อม รูมะตอย ปวดไมเกรน ปวดประจำเดือน เพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกาย และ ลดภูมิแพ้ บำรุงสายตา เพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็นในเวลากลางคืน เพิ่มธาตุเหล็กสำหรับสตรีที่มีธาตุเหล็กไม่เพียงพอ

          ปัจจุบัน ข้าวลืมผัวนี้ ได้นำมาแปรรูป ทำเป็น ชาลืมผัว สาโท ข้าวเหนียวมะม่วง ซูชิ กาแฟ นอกจากนี้มีการนำมาทำเป็นไซเดอร์ เรียกว่า ไรซ์ไซเดอร์ข้าวเหนียวลืมผัว เป็นเครื่องดื่มไซเดอร์ที่ผลิตจากข้าวชนิดนี้ โดยผ่านกระบวนการหมักข้าวทำให้เกิดกรดอะซิติก ทำให้มีรสเปรี้ยวเล็กน้อย ทำให้ระบบการขับถ่ายทำงานได้ดี สามารถลดปริมาณน้ำตาลในกระแสเลือด ลดความดันโลหิตสูง ลดคอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงในการเกิดเซลล์มะเร็งในลำไส้ใหญ่ได้ดี  อีกอย่างที่เขานำข้าวเหนียวลืมผัวไปทำคือ  น้ำไรซ์ไซด์เดอร์จากข้าวเหนียวลืมผัว ภาษาอังกฤษว่า LeumPua Glutinous Rice Cider
          

โรคอัมพาต รักษาได้โดยการแกว่งแขน

4/24/2557 Posted by Unknown No comments
               โรคอัมพาตเป็นโรคร้ายแรงอย่างนึงที่เราไม่อยากจะเป็นแน่นอน ใช่มั้ย แต่เรื่องโรคภัยไข้เจ็บ มันเป็นอะไรที่เดาได้ยาก แต่เรามีวิธีการรักษา จากการแกว่งแขน นั่นเอง มาดูกันเลยค่ะ ว่าการแกว่งแขน สามารถรักษาโรคอัมพาต ได้อย่างไร
                   โรคอัมพาตหรืออาการที่ตายไปครึ่งตัว เป็นลม ความดันโลหิตสูง ไขข้ออักเสบ ส่วนมากโรคเหล่านี้มักจะเกี่ยวเนื่องกัน เกิดขึ้นเพราะเลือดลมภายในร่างกายขาดความสมดุล ซึ่งกระทบกระเทือนการไหลเวียนแจกจ่ายของเลือดลม และทำให้ชีพจรกล้ามเนื้อ และกระดูกไขข้อ เกิดการแปรปรวนขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปรากฏว่า ชีพจรทั้งสองข้างเต้นไม่เท่ากัน คือข้างหนึ่งเต้นเร็วอีกข้างหนึ่งเต้นช้า การเต้นของชีพจรบางครั้งต่างกัน๑๐-๒๐ ครั้ง เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จะเกิดปฏิกิริยาโดยถือเท้าข้างใดข้างหนึ่ง มีอาการรู้สึกปวดเมื่อย หรือชา ขาดความรู้สึก ที่จริงส่วนบนกับส่วนล่าง ก็มักมีปัญหาเช่นกัน ได้แก่ ส่วนบนเลือดคั่ง แต่ส่วนล่างเลือดกลับเดินไม่ถึงเช่นนี้

          เหตุใดการออกกำลังโดยการแกว่งแขนจึงสามารถรักษาโรคเหล่านี้ได้อย่างชะงัด
การออกกำลังแบบนี้ มิเพียงสามารถรักษาโรคเหล่านี้ได้แต่ยังสามารถป้องกันการเป็นลมอีกด้วย  การที่คนเราเกิดเป็นลมขึ้นมา  ก็เพราะการไหลเวียนของโลหิตทั้งสองด้านของร่างกายขัดแย้งกัน  ดังนั้นชีพจรจึงแสดงการไม่สมดุลกันออกมาให้ปรากฏ   แพทย์จีนแผนโบราณให้คำอธิบายไว้ว่า  "ชีพจรนั้นได้เริ่มจากส้นเท้า" การทำกายบริหารแกว่งแขนมีประโยชน์ก็เพราะหลังจากแกว่งแขนแล้ว  ชีพจรจะเกิดการเปลี่ยนแปลงกลับคืนสู่สุขภาพปกติ   ชีพจรเป็นเสมือนตัวแทนของอวัยวะภายในร่างกายของคนเรา      สาเหตุของโรคอัมพาต ก็คือ ศีรษะหนัก  เท้าเบา ซึ่งเท่ากับส่วนบนหนัก ส่วนล่างว่าง   กรณีเช่นนี้จึงเป็นความผิดปกติอย่างยิ่งเพราะที่ถูกต้องร่างกายของคนเรา ส่วนบนต้องเบา และส่วนล่างต้องหนัก

          โรคอัมพาต หมายถึง อาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อแขนขาอันเกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานของแขนขาส่วนนั้น ที่พบบ่อยก็คือ อาการอ่อนแรงของแขนขาซีกใดซีกหนึ่ง อันเกิดจากความผิดปกติของสมอง เรียกว่า อัมพาตครึ่งซีก(hemiplegia)
          นอกจากนี้ยังอาจพบอาการอัมพาตในลักษณะอื่น เช่น ขาทั้งสองข้างอ่อนแรง อันเกิดจากความผิดปกติ(เช่น บาดเจ็บ ติดเชื้อ)ของไขสันหลังส่วนล่าง เรียกว่า อัมพาตครึ่งล่าง(paraplegia) หรือแขนขาทั้ง 4 ข้างอ่อนแรง เนื่องจากไขสันหลังส่วนบนได้รับการกระทบกระเทือน(เช่น ประสบอุบัติเหตุกระดูกต้นคอหักกดไขสันหลัง) เรียกว่า อัมพาตทั้งตัว(quadriplegia) เป็นต้น
เนื่องจากโรคอัมพาตครึ่งซีกเป็นภาวะที่พบได้บ่อยกว่าอัมพาตในลักษณะอื่นๆ โดยเฉพาะในวัยกลางคนและผู้สูงอายุ ดังนั้น เมื่อพูดถึงโรคอัมพาตเราจึงมักจะหมายถึงโรคอัมพาตครึ่งซีกนั่นเอง


         โรคอัมพาต(ครึ่งซีก) เป็นโรคที่พบได้บ่อยในบ้านเราขณะนี้ มักพบในวัยกลางคนขึ้นไปเป็นส่วนใหญ่ และเป็นได้ทั้งชายและหญิง อาการมักเกิดขึ้นฉับพลันทันที จนเรียกกันว่า ลมอัมพาต
โรคนี้เกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดแดงในสมอง กล่าวคือ อาจมีการแตกหรือตีบตันของหลอดเลือดนี้ ทำให้เนื้อสมอง(ส่วนที่หลอดเลือดนั้นไปเลี้ยง)เกิดความผิดปกติ และหยุดสั่งงาน จึงเป็นเหตุให้แขนขาที่สมองส่วนนั้นบังคับบัญชาอยู่เป็นอัมพาต เปรียบเหมือนกับสวิตช์ไฟเสีย ทำให้ดวงที่สวิตช์ควบคุมอยู่นั้นไม่ติด
ที่น่าสนใจก็คือ สมองคนเรานั้นจะสั่งงานไปยังแขนขาซีกตรงข้าม กล่าวคือ สมองซีกซ้ายจะสั่งงานแขนขาซีกขวา สมองซีกขวาจะสั่งงานแขนขาซีกซ้าย
โรคอัมพาต(ครึ่งซีก)มักจะเกิดจากความผิดปกติของสมองเพียงซีกใดซีกหนึ่ง ซึ่งจะทำให้แขนขาซีกตรงข้ามเป็นอัมพาต เช่น ถ้าเป็นอัมพาตซีกขวา ก็แสดงว่ามีความผิดปกติในสมองซีกซ้าย เป็นต้น

สาเหตุที่ทำให้หลอดเลือดแดงในสมองเกิดการตีบตันหรือแตกนั้น ส่วนใหญ่เกิดจากภาวะเสื่อมของหลอดเลือดแดง ทำให้ผนังหลอดเลือดแข็งตัว ตีบตัน และเปราะ ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดขึ้นเป็นธรรมชาติในผู้สูงอายุ(อายุ 70-80 ปีขึ้นไป) แต่ภาวะเสื่อมของหลอดเลือดแดงจะเกิดขึ้นเร็วกว่าวัยอันควร ถ้าคนๆนั้นป่วยเป็นโรคเบาหวาน ความดันเลือดสูง สูบบุหรี่จัด หรือเป็นโรคอ้วนมาตั้งแต่เล็ก ปัจจัยเหล่านี้จะทำให้หลอดเลือดแดงค่อยๆเสื่อมทีละน้อย จนถึงวัยกลางคนก็จะเริ่มก่อโทษต่อสมอง

          ป้องกันได้ โดย

- อย่าสูบบุหรี่ ลดอาหารมัน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งไขมันสัตว์ กะทิ) และหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อป้องกันมิให้หลอดเลือดแดงเสื่อมเร็ว
- บริโภคอาหารให้ถูกหลัก ควรกินผักและผลไม้สดให้มากๆ และควบคุมมิให้น้ำหนักเกิน(อ้วน) โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ในวัยเด็ก
- หมั่นตรวจเช็กความดันเลือดเป็นประจำ หากมีญาติเป็นเบาหวานหรือโรคอัมพาต ควรตรวจเช็กร่างกายเป็นประจำ
- ถ้าเป็นโรคความดันเลือดสูง หรือเบาหวาน ควรติดตามรักษากับแพทย์อย่าได้ขาด ถ้าหากสามารถควบคุมระดับความดันและน้ำตาลในเลือดให้กลับสู่ระดับปกติได้ ก็จะลดโอกาสของการเกิดโรคอัมพาตแทรกซ้อนได้

วันอังคารที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2557

ทำไมต้องยืนแกว่งแขน มีประโยชน์ยังไง เคยสงสัยกันมั้ยคะ?

4/22/2557 Posted by Unknown No comments
          การยืนแกว่างแขน ไม่น่าเชื่อ ว่ามีประโยชน์มากมายมหาศาลเลยนะคะ ยิ่งจะไม่น่าเชื่อ เมื่อการแกว่างแขน สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ด้วย
กายบริหารแกว่งแขนนี้ รักษาโรคได้ ที่เห็นได้ชัดเจน และได้ผลดีที่สุดคือ รักษาโรคหัวใจ โรคความดันสูง โรคออฟฟิศซินโดรม (OfficeSyndrome) คืออาการ ไหล่ติด มือชา โรคภัยไข้เจ็บนี้ ส่วนมากเกิดขึ้นจากเลือด ลม หมุนเวียนไม่ดี ถ้าเรามีวิธีการทำให้เลือด ลมไหลเวียนดี โรคภัยไข้เจ็บก็จะไม่เกิดขึ้น นี่เป็นสาเหตุหลักเลย ว่าทำไม คนจีนส่วนใหญ่ ในผู้สูงอายุ ถึงมีสุขภาพดี กันถ้วนหน้า นะคะ 

          หลักสูตรการแกว่งแขน ง่ายมาก แค่ 5 นาทีเราก็สามารถทำได้ แล้วค่ะ มีวิธีดังต่อไปนี้

1. ขายืนตรง กางขาออกกว้างเท่ากับหัวไหล่ (ดูภาพประกอบที่ 1)
2. ยกมือ เหยียดแขนตรง ไม่เกินกว่าหัวไหล่ บางคนเข้าใจผิด คิดว่า ยกแขนเกินหัวไหล่ แล้วจะดี แต่จริงๆ แล้ว ทางแพทย์แผนจีนจริงๆ เขาบอกว่า ให้ยกแขนไว้ที่ระดับไหล่ ดีที่สุดค่ะ
3. ต้องทำให้เส้นเอ็นตึง โดยการเหยียดแขนให้ตรง แกว่งแขนไปด้านหลังให้หนักแน่น อาจจะฝืนตัวเองหน่อยในช่วงแรก คือ แกว่งไปด้านหลังประมาณ 60 องศา ให้ออกแรงมากหน่อย จะรู้สึกได้ว่า แขนที่ปล่อยไปด้านหลังไม่สามารถทำให้สูงไปกว่านั้นได้อีก แล้วปล่อย แขนมาด้านหน้า อย่างผ่อนคลาย ว่างและเบา(ดูภาพประกอบที่2)




ภาพประกอบที่1



ดูภาพประกอบที่2

          
          เคล็ดลับการแกว่งแขนให้ได้ผลดีจริงๆ คือต้อง สะบัดมือ และนิ้วทั้งสิบลง เวลาที่แกว่งแขนไปด้านหลัง เพราะหลายคนไม่รู้ว่า เคล็ดลับต้องสะบัดมือด้วย เพราะถ้าไม่สะบัดมือด้วย เลือดจะหมุนเวียน ไปไม่ถึงปลายนิ้ว ตามหลักสูตรแพทย์แผนจีน เลือดหมุนเวียน ที่ดีต้องให้ไปถึงปลายสุดของร่างกาย คือปลายนิ้วมือ นิ้วเท้าเลย หลายคนที่เลือดหมุนเวียนไม่ดี จะรู้สึกว่า มือเย็น มือชา อย่างนี้แปลว่าเลือดหมุนเวียน ไม่ถึงปลายนิ้ว เคล็ดลับคือต้องสะบัดมือเวลาแกว่งแขนด้วยค่ะ ควรทำอย่างน้อย คือ 10 นาที แต่ 10 นาทีนี้ ยังไม่สามารถรักษาโรคได้ เป็นแค่การออกกำลังกายเท่านั้น ถ้าทำถึง 20 นาที ถึงจะเข้าถึงอวัยวะภายในร่างกาย แต่ไม่ควรแกว่งแขนนานเกินไป คือ แกว่งเป็นระยะเวลาถึงชั่วโมงจนทำให้ร่างกาย อ่อนล้า แทนที่จะเป็นผลดีต่อร่างกาย กลับทำให้ร่างกาย อ่อนเพลียและเกิดอาการปวด และอักเสบตามมาทีหลังได้